คลังบทความไซ-ไฟ



คลิกเพื่อ กลับสู่รายการบทความทั้งหมด



รีวิว/รำลึก/แนะนำ หนัง Sci-Fi ในตำนานขึ้นหึ้ง
อันเป็นแรงบันดาลใจต่อ Interstellar (2014) / (+คาดการณ์เก็งเรื่องราวของ Interstellar)

( * ด้วยบทความนี้เป็นบทความเก่า เพื่อเรียกน้ำย่อย ช่วงก่อนหนัง Interstellar เข้าฉาย จึงเต็มไปด้วยการคาดการณ์ที่เกี่ยวโยง Interstellar --- หากสนใจเฉพาะ Interstellar สามารถตามไปอีกบทความจัดเต็มอีกชุด คลิกที่นี่ อันจะเป็นเผยบทสรุป หลังหนังฉายเรียบร้อย )

เบื้องต้น ผกก. โนแลน (Interstellar) เผยว่ามีหนังไซ-ไฟในตำนานมากมาย ที่เขาได้แรงบันดาลใจจากที่เคยดูสมัยวัยเยาว์ ไม่ว่าหนังแฟรนไชส์ดังเจ้าใหญ่ อันเป็นเสาหลักแห่งวงการไซ-ไฟอวกาศ อย่าง Star Wars , Star Trek ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว จึงขอข้าม ไม่พูดถึงในที่นี้ (สนใจไว้คลิกลิงค์ตามไปต่อภายหลังได้ครับ) ... แต่กระนั้นไซ-ไฟที่ทรงอิทธิพลต่อการสร้าง Interstellar โดยตรงหลักๆ ที่ โนแลน ได้เผยต่อสื่อ มี 4 เรื่อง คือ 2001: A Space Odyssey, Close Encounter of the Third Kind, The Right Stuff, และ Jaws ... จึงขอเริ่มจาก 4 เรื่องนี้ ก่อนเรื่องอื่นๆ ... ( และเรื่องอื่นๆที่เสริมเพิ่มเติมนั้น ถือว่าเป็นการแถมเสริม แนะนำหนังไซ-ไฟน่าดูไปในตัว )



1) A Space Odyssey (1968)



- เบื้องต้นสำหรับ 2001: A Space Odyssey กำกับโดย "Stanley Kubrick" ทุกสำนักให้การยกย่องว่าเป็นหนังไซ-ไฟขึ้นหึ้งตลอดกาล ทั้งทางด้านภาพและเนื้อหาการดำเนินเรื่อง (แต่คนดูหนังทั่วไปหลายคนกลับดูแล้ว งง+หลับ ^^) และถ้าใครบอกเป็นคอไซ-ไฟ แต่ยังไม่เคยดู 2001 ก็ดูจะเสียสถาบันไปหน่อย :) ... และเมื่อมีหนังไซ-ไฟใหม่ๆที่ได้ชื่อว่าเป็นแนวสมจริง(Hard Sci-fi) ฟอร์มยักษ์ออกมา ก็มักต้องถูกจับมองเสมอๆว่า จะพอเป็น 2001 ยุคใหม่ได้หรือไม่? และที่ผ่านมาก็ว่ากันว่ายังไม่มีหนังเรื่องใดเหมาะสมเทียบเท่า 2001... (Interstellar 2014 ล่าสุดนี้ ก็ถูกจับตามองเป็นพิเศษ)

- 2001 มีนัยยะปรัชญาอวกาศ ไอเดียแปลกๆน่าสนใจ อาทิ กรณีวิวัฒนาการมนุษย์นับแต่ยุควานรอันมีความสัมพันธ์กับแท่งหินลึกลับ(monolith), กรณี A.I. HAL 9000 ที่ไม่ใช่รูปแบบหุ่นยนต์แต่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ควมคุมยานที่ราวกันมันมีจิตสำนึก+ชีวิตจริงๆ ซึ่งเป็นไอเดียล้ำมากในยุคนั้น และยังคงถือว่าล้ำจวบจนถึงยุคปัจจุบันนี้ก็ตาม

- 2001 มีฉากอวกาศงดงามหมดจดแบบสมจริง ดู Real และบรรยกาศที่ขลังมาก ทั้งอิงหลังวิทยาศาสตร์จริงๆค่อนข้างสูง(ไม่เน้นแบบแฟนตาซี CGฉูดฉาดเว่อร์วัง) ยากที่จะไซ-ไฟเรื่องไหนทัดเทียมจวบจนปัจจุบัน (แม้จะเป็นหนังในยุค ปี 1968 กระโน้น)

- แต่การเดินทางใน 2001 เป็นการเดินทางกับไปยานอวกาศตรงๆ ไม่มีประเด็นผ่านทางลัดเร็วเหนือแสงแบบ รูหนอน หลุมดำ วาร์ป หรือย้อนเวลาใดๆ ... (แบบที่คาดว่า Interstellar จะมี จากที่เห็น Trailer เบื้องต้น)

- 2001 แก่นของเรื่องไม่ใช่การกู้โลกแต่เป็นการสำรวจอวกาศ+ค้นหาความลับของแท่งหินดำนั้นอันเกี่ยวโยงสิ่งทรงภูมิปัญหาต่างดาวหรือเอเลี่ยนลึกลับ แต่เบื้องต้นสำหรับ Interstellar ยังไม่มีข้อมูลว่าจะเกี่ยวโยงกับเอเลี่ยนด้วยหรือไม่?(ก็ต้องรอดูพิสูจน์หนังเต็มๆ) และ Interstellar ดูจะมุ่งประเด็นไปที่การกู้โลก หรือการแก้ไขปัญหามนุษยชาติเป็นแก่นหลัก ซึ่งเป็นภาวะจำเป็นบีบคั้นให้ต้องออกสำรวจอวกาศ และอีกกรณีคือ ภายในหนัง 2001 ได้แบ่งเรื่องราวเป็น 4 episode ต่างยุคต่างเวลากันโดยยังคงมีหินดำลึกลับเป็นตัวเชื่อมโยง ... ซึ่งก็ไม่ทราบว่า Interstellar จะเล่นลูกเล่นประมาณแบ่งตอนย่อยทำนองนี้ด้วยหรือเปล่า ? ... เพราะเบื้องต้น Interstellar เองก็มีเผยข้อมูลท้องเรื่องว่า ลูกสาวของพระเอก มีนักแสดง 3 วัยด้วยกัน เด็ก ผู้ใหญ่ และ แก่ กันเลยเดียว

- 2001 เดิมเป็นฉบับนวนิยาย(Novel)มากก่อน และ 2001 เป็นแค่เล่มแรกเท่านั้น ฉบับนวนิยายจริงมีถึง 4 เล่มจบ แน่ละว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายต่อจาก 2001 ในภาคนิยาย (ภาคหนัง สร้างภาคต่ออีกภาคด้วย คือ 2010: The Year We Make Contact (1984) "Peter Hyams" กำกับ) ... ในขณะที่ Interstellar ถูกคิดพล็อตมาเพื่อโปรเจคสร้างเป็นภาคภาพยนตร์โดยเฉพาะ และที่สำคัญยังมีการเชิญนักฟิสิกส์/นักดาราศาสตร์ยุคใหม่อย่าง Kip Thorne มาช่วยในส่วนของทฤษฏีการเดินทางในอวกาศ เพื่อให้หนังสมจริงสมเหตุสมผลเชิงทฤษฎีอีกต่างๆหาก

- 2001 ช่วงท้ายเผยว่า นักบินอวกาศได้ไปพ้นสุริยะจักรวาล สู่ในดินแดนอันลึกลับ ซึ่งยังเป็นปริศนามิอาจบอกได้ว่ามันคือที่ไหน ดาวไหน แกแลคซีไหน ? จะไปด้วยการวาร์ป รูหนอน อะไรทำนองนั้นหรือไม่? หรือแท้จริงอาจจะเป็นแค่จิต/ความคิด/จินตนาการภาพหลอนของนักบินอวกาศภาวะก่อนตาย! อันเกี่ยวโยงกับการไปเกิดใหม่ เป็นทารกในจักรวาล! ... ส่วน Interstellar จะไปที่ไหนบ้างก็แน่ละต้องลุ้นอีกทีในหนังฉบับเต็มๆ


2) Close Encounters of the Third Kind (1977)


- สำหรับ Close Encounters of the Third Kind (1977) ต้องเรียกว่าเป็นอีกตำนานไซ-ไฟเก่าเก็บเกิดไม่ทัน แต่คนรักไซ-ไฟก็ควรต้องหามาดูให้ได้สักครั้งในชีวิต ผลงานโดย สุดยอด ผกก. แห่งประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ ถ้าเอ่ยชื่อก็เป็นที่รู้จักกันดีนั้นคือ "Steven Spielberg" ... เรื่องราวว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวเยือนโลก ไม่ใช่มาบุกถล่มโลกหมายยึดครองแบบหนังไซ-ไฟแอคชั่นแฟนตาซี blockbuster ทั่วๆไป แต่พวกเขามาอย่างสันติ และทักทายด้วยวิธีแปลกประหลาด นั้นคือส่งสัญญาณคลื่นเสียงโน๊ตดนตรี แต่กระนั้นก็มีบทโหดนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน ก็คือ ลักพาตัว!

- ก็ถือเป็นหนังไซ-ไฟเรื่องแรกๆ ที่ให้ไอเดียไขปริศนากรณี UFO และการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาว อันมีแก่นนัยยะสำคัญของเรื่องอยู่ที่การเมือง! ระหว่างองค์กรรัฐผู้กุมความลับ กับ ประชาชนผู้อยากรู้อยากเห็น ซึ่งหน่วยงานรัฐไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นที่เปิดเผยแพร่หลายสู่สาธารณะ หรือไม่อยากจะให้ประชาชนต้องมารับรู้เกี่ยวข้องมากนัก จะด้วยเหตุผลเชิงความมั่นคงหรือเหตุผลอื่นใดก็ตามที ทั้งยังจัดฉากต่างๆนานาเป็นการกีดกันปิดบัง เบี่ยงเบนความสนใจ เพื่ออำพรางเรื่องจริงทั้งหมดไว้ ถึงขั้นกุข่าวสร้างภาพให้ประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่ต้องห้ามกันเลย ... (และกรณีลับลวงพรางปิดหูปิดตาประชาชนทำนองนี้ ก็คงมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่น้อย! (ซึ่งก็น่าจะพิจารณาเหมือนกันว่ากรณีทำนองนี้แท้จริงแล้วควรจะเผยต่อสาธารณะชนหรือไม่ ? ควรเผยมากน้อยแค่ไหน ? หรือระหว่างเผยไม่เผย อย่างไหนสมควรกว่ากัน ? ฯลฯ) และใครจะไปรู้ หน่วยงาน NASA, SETI หรือจะเป็นองค์ลับอื่นๆ ฯลฯ ของมหาอำนาจอเมริกา จีน รัสเซีย หรือประเทศชั้นนำอื่นๆ อาจมีการติดต่อมนุษย์ต่างดาวมาช้านานแล้ว!?)

- ท้องเรื่อง Close Encounters of the Third Kind ยังสื่อนัยยะเชิงความเชื่อ/ศาสนา! ของมนุษย์ผู้สงสัย(+กลัว)ในสิ่งที่ไม่รู้จัก เมื่อได้เห็นได้ยินปรากฏการณ์อะไรแปลกๆเหนือสามัญสำนึก ก็จัดให้เป็นเทพเจ้าต้องบูชาไว้ก่อน เหตุการณ์ฉากการชุมนมสวดตามทำนองเสียง ที่มาจากฟ้า ณ ประเทศอินเดีย สะท้อนประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี

- และหลายๆฉากในเรื่องนี้ มีองค์ประกอบฉาก/Art Direction อย่างมีเอกลักษณ์ จัดเป็นฉากไอคอนของวงการไซ-ไฟ ที่มีความสวยงาม ชนิดตราตรึงประทับใจจำติดตา ไม่ว่าฉากเด็กน้อยเปิดประตูรับแสงจ้าจากยานเอเลี่ยน, ฉากยานอวกาศยักษ์ปรากฏเหนือภูเขาสูง (หรือ Devils Tower ในมลรัฐไวโอมิง), และโดยเฉพาะฉากการออกมาปรากฎตัวของเหล่ามนุษย์ต่างดาวอันมีแสงจ้าฟ้าเงินยวงเป็นฉากหลัง ซึ่งมันขลังมาก ก็ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ด้านการเล่นกับองค์ประกอบฉากชั้นครูของ ผกก.Spielberg อันเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำหนังไซ-ไฟรุ่นหลังต่อมา(หรือหนังแนวอื่นๆก็ตาม) ได้หยิบยืมมาใช้มากมายหลายต่อหลายเรื่อง

- แล้วจะส่งอิทธิพลต่อ Interstellar (2014) อย่างไร ? ... ขอเดา(ล้วนๆ^^) ว่าเรื่องราวใน Interstellar ดูมีแนวโน้มน่าจะเกี่ยวโยงสิ่งทรงภูมินอกโลกหรือต่างดาว! ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ค่อนข้างสูงทีเดียว ? เพราะการเดินทางท่องอวกาศ เข้าหลุมดำ-รูหนอน ? ซึ่งล้ำขนาดนั้นอาจไม่ใช่ฝีมือมนุษย์โดยตรง ... และอีกกรณีก็คือ องค์ประกอบฉาก/Art ในหนัง คาดว่า ผกก. โนแลน คงได้แรงบันดาลใจจาก Close Encounters of the Third Kind มาประยุกต์ใช้ใน Interstellar ไม่น้อย


3) The Right Stuff (1983)


สำหรับ The Right Stuff (1983) โดย ผกก. "Philip Kaufman" เชื่อว่าอาจมีน้อยคนที่มีโอกาสดู? หรืออาจไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ? เลยขอจัดเต็มยาวพิเศษหน่อย เป็นการเจาะรำลึกหนังดีที่หาดูไม่ง่ายนักในบ้านเรา :)

- ภาพยนตร์ The Right Stuff สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ประพันธ์โดย "Tom Wolfe" ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ไม่เชิงเป็นหนังไซ-ไฟสำรวจอวกาศทั่วไปโดยตรง แต่จะเป็นเชิงหนังดราม่ากึ่งสารคดี(บวกมีแอบเสียดสีวงการ!) อันสร้างจากเค้าโครงประวัติศาสตร์จริง ในท้องเรื่องเป็นยุคเริ่มต้นของ !! ศึกชิงความเป็นผู้นำด้านอวกาศ !! ในช่วงปลายยุค 50 ต้น 60 อันช่วงของประธานาธิบดี "ไอเซนฮาวเวอร์" ประเทศโซเวียต/รัสเซีย และประธานาธิบดี "เคนเนดี" สหรัฐอเมริกา ทั้งสองชาติมหาอำนาจได้มีแข่งขันกันลึกๆในเชิงศักดิ์ศรี ว่างานนี้ ใครจะสามารถส่งมนุษย์ออกนอกโลกสู่ห้วงอวกาศได้ก่อนกัน

- และผล(อย่างที่รู้ๆกัน) ก็คือ "ยูริ กาการีน" ของฝั่งรัสเซีย กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลก เป็นมนุษย์ผู้ที่ออกนอกโลกสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จเป็นคนแรก ... ซึ่งผลออกมาอย่างนี้ ฝ่ายอเมริกาก็เป็นอันรู้สึกเสียเชิงความเป็นมหาอำนาจโลกไม่น้อย จึงต้องเร่งพัฒนา เพื่อส่งคนอเมริกันสู่อวกาศให้สำเร็จด้วยโดยด่วน ก่อเกิดเป็นโครงการ "Mercury Seven" ขึ้น เพื่อคัดเอานักบินอวกาศ 7 คน มาฝึกซ่อมตระเตรียมตัวก่อนส่งออกสู่ห้วงอวกาศทีละคนต่อไป ... ซึ่งจุดนี้ถือเป็นแก่นเรื่องหลักของหนังเลย(และภาคนวนิยายต้นฉบับก็เช่นกัน) อันเป็นการสื่อนัยยะเสียดสีถึงกระบวนการคิดอันฉาบฉวย ที่หมายเพียงแข่งขันเอาหน้า!เชิงศักดิ์ศรี ทั้งนี้ก็ด้วยเบื้องต้นอเมริกาไม่ได้ต้องการจะส่งคนไป แต่จะส่งลิงชิมแปนซีไปแทน เพื่อความรวดเร็ว สะท้อนว่างานนี้ยังไงก็ได้ขอแค่ได้แสดงให้โลกได้เห็นว่า อเมริกาก็มีเทคโนอวกาศล้ำไม่น้อยหน้ารัสเซีย แต่ต่อมาในที่สุดแล้ว ก็มาลงเอยที่ต้องหาคนจริงๆ มาเป็นนักบินอวกาศอยู่นั่นเอง

- ซึ่งประเด็น การเฟ้นหานักบินอวกาศ นีัเอง ที่เป็นอีกแง่มุมสะท้อนให้เห็นเบื้องหลังอัปลักษณ์! บางประการของฝ่ายอเมริกา กับกรณี วิธีคิด-กระบวนการคัดเลือก- การทำงาน ฯลฯ ที่ออกมาในเชิงไม่ค่อยเที่ยงธรรมนัก อาทิ คนที่มีความสามารถจริงๆอย่าง เยเกอร์ "Chuck Yeager" (*ซึ่งมีตัวตนจริง *และที่น่าสนใจอีกคือ ตัวจริงยังได้รับเชิญมาแจมรับบทแสดงในหนังด้วย โดยรับบทตัวประกอบเล็กๆเป็นบาร์เทนเดอร์เฒ่า ชื่อ "Fed") ทั้งที่จริงๆแล้วต้องถือว่า Yeager เป็นประวัติศาสตร์สำคัญของวงการการบินของโลกคนหนึ่ง เพราะเขาคือคนแรกที่ขับเครื่องบินเจ็ท ด้วยความเร็วเกิน 1 Mach ( 1มัค = ความเร็วของเสียง) ทะลุอาถรรพ์กำแพงเสียง(หรือ Shockwave)ซึ่งเสี่ยงตายมากในยุคนั้น และเขาก็น่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบินอวกาศคนแรกของโลกด้วยซ้ำ ... ซึ่งกรณีนี้ ในยุคนั้น(หรือยุคนี้เองก็ตาม) กลับไม่ได้รับการโปรโมทยกย่องออกสื่อแต่ประการใด (หลายคนเลยไม่เคยได้ยินชื่อ ?) ... และสำหรับ โครงการ Mercury Seven แล้ว เขาเองก็กลับไม่ได้รับเลือก ทั้งๆทั้งควรจะเป็นหนึ่งในนั้น เหตุผลง่ายๆก็คือ เขาไม่จบปริญญา ... ก็สะท้อนว่า โครงการ Mercury Seven ต้องการแค่นักบินทั่วไป หรือกระทั้งเป็นใครก็ได้ ขอแค่มีปริญญา ? และท้องเรื่องมีก็ยังนัยยะเสียดสีต่อว่า โครงการนี้ดูไปแล้วก็เป็นเพียงการเอามนุษย์เข้าแคปซูลยิงให้ไปถึงอวกาศ ก็ถือว่าสำเร็จแล้วตามความประสงค์ของโครงการแล้ว ... ในท้องเรื่องจึงมีนแซวกันปร ะมาณ ... มนุษย์อวกาศอเมริกาโครงการนี้ แท้ที่จริงก็คือแค่ ผู้โดยสาร ที่แทบไม่ต่างอะไรจากลิงชิมแปนซี (และประเด็นนี้ก็ยังเป็นข้อถกเถียงโต้แย้งกันในวงการ ว่าเบื้องหลังลึกๆยังไงมันกันแน่)

- The Right Stuff ก็เป็นอีกหนังที่ยาวมาก นั่นคือยาวตั้ง 3 ชม.กว่าๆ เรื่องราวรายละเอียดปลีกย่อยจึงมีน่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวโยงการบินเหนือเสียง และการแสดงบรรยากาศต่างๆของการฝึกนักบินอวกาศทั้ง 7 ... แต่ก็อย่างที่เกริ่น มันเป็นเรื่องราวเริ่มต้นขอ งการพัฒนาเทคโนฯอวกาศ เรื่องนี้จึงจะไม่ได้เห็นฉากการสำรวจอวกาศไกลโพ้นต่างดาวตื่นตาตื่นใจแบบไซ-ไฟทั่วไปแต่ประการใด ทั้งยังไม่ใช่เป็นหนังเชิงสื่อ ปรัชญาล้ำลึก หรือมีลูกเล่นหักมุม (ตัวหนังเองจึงอาจอืดและง่วง ^^ สำหรับคนดูทั่วๆไป ?) ... แต่ส่วนตัวก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ชอบมาก ด้วยความเป็นหนังเน้นความสมจริงทั้งเรื่องราวและฉากต่างๆ และมีฉากประวัติศาสตร์จริงสมทบด้วย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งหนังที่ละเมียดละไมไม่น้อย

- และถ้าจะเก็งว่ากรณีหนัง Interstellar จะได้รับอิทธิพลด้านใดจากหนังเรื่อง The Right Stuff นี้บ้าง ? คิด(เดา^^)ว่าก็น่าจะในส่วนของฉากที่เน้นความสมจริงมากๆของหนัง โดยเฉพาะกับบรรยากาศเบื้องหลังการทดลองเทคโนฯการบิน/อวกาศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าย่อมต้องมีล้มเหลวก่อนเป็นธรรมดา กระทั้งต้องถึงตายกันหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความฝัน ความพยายาม ความทุ่มเทอันเดิมพันสูงของมนุษยชาติได้อย่างดีเยี่ยม และกับกรณีฉากการฝึกเตรียมตัวรูปแบบต่างๆ ก่อนออกสู่อวกาศจริงของนักบินอวกาศทั้ง 7 ซึ่งมีรายละเอียดหยุมหยิมเกี่ยวเนื่องมากมาย บวกทั้งมีเบื้องหลังดราม่ากันเอง หรือกระทั้งแง่มุมผลกระทบของคนรัก/ชีวิตครอบครัวของนักบิน ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องราวที่ถ้าหากไม่ใช่คนวงใน หรือคนที่อยู่ในวงการนี้จริงๆคงมิอาจได้รับรู้เลยว่าต้องประสบกับอะไรบ้างในชีวิต การดูหนังเรื่องนี้แนวนี้จึงเท่ากับได้เป็นการเปิดโลกทัศน์อีกด้านที่ไม่รู้มาก่อนได้เป็นอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน และใน Interstellar คงต้องมีเน้นสะท้อนฉากทำนองนี้ไม่น้อย ?

- และอีกกรณีสำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้สำหรับ The Right Stuff ก็คือ ปี 2013 หอสมุดรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Library of congress) ได้คัดเลือกให้ The Right Stuff ขึ้นทะเบียนเป็นภาพยนตร์แห่งชาติ (National Film Registry) ยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีความสำคัญทรงคุณค่าทาง วัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ ... ดังนั้น สำหรับคอไซ-ไฟ หรือแม้แต่คนชอบดูหนังทั่วไป ภาพยนตร์ The Right Stuff ก็น่าจะคุ้มค่าพอที่จะเสาะหาและเสียเวลาชม :)


4) Jaws (1975)


อย่างที่ได้เกริ่นก่อนหน้า ผกก. โนแลน เผยหนังไซ-ไฟในอดีตที่ทรงอิทธิพลต่อ Interstellar มี 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 2001: A Space Odyssey, Close Encounter of the Third Kind, The Right Stuff, และ Jaws ... เรื่องอื่นๆที่ได้ว่ามาก่อนหน้าเรียบร้อยแล้วนั้น คงไม่ค่อยแปลกใจมากเพราะอย่างน้อยก็ยังเกี่ยวโยงเทคโนโลยี/อวกาศ/ต่างดาว แต่สำหรับเรื่อง Jaws นี้ดูจะหลุดแนวไปนิด เพราะอย่างที่รู้กันมันคือ หนังที่ว่าด้วยเรื่องของ ปลาฉลามยักษ์กินคน!

- Jaws (1975) เป็นอีกเรื่องที่กำกับโดย Steven Spielberg ... ซึ่งความตระหนกแตกตื่นจากข่าวมีปลาฉลามยักษ์กินคนในท้องเรื่อง ได้ก่อเกิดส่งผลและสะท้อนนัยยะมากมาย เมื่อมีข่าวความน่ากลัว-ภัยคุกคามบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาย่อมเป็นแง่ลบทันที โดยเฉพาะกับเศรษฐกิจที่เกี่ ยวข้อง ไม่ว่าเชิงธุรกิจ การท่องเที่ยง แม้แต่การใช้ชีวิตทั่วๆไป ฯลฯ แต่เมื่อข่าวยังเป็นข่าวที่เล่าลือ ข้อมูลหลักฐาน และเบาะแสยังไม่เคลียร์ 100% (แม้จะเป็นความจริงแท้ก็ตาม) ก็จะเกิดเป็นประเด็นขัดแย้ง เรื่องผลประโยชน์ของผู้เสียประโยชน์ ย่อมต้องการให้ข่าวข้อมูลเกี่ยวเนื่องนั้นถูกเก็บเงียบที่สุด (หรือกระทั้งปิดข่าวบิดเบือนข้อมูลก็ตาม) ในขณะผู้ที่เห็นแก่ความปลอดภัยไว้ก่อน ย่อมมองว่าต้องการกระจายข่าวให้ประชาชนรู้มากที่สุด และดำเนินมาตรการป้องกันต่างๆโดยด่วน เพราะชีวิตแม้แต่เพียงชีวิตเดียวย่อมสำคัญกว่าผลประโยชน์เชิงธุรกิจใดๆทั้งสิ้น ... ฉลามยักษ์ในเรื่อง ก็นับว่าเป็นตัวแทนสะท้อนกระแสข่าวคุกคามต่างๆในชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี อาทิ โรคระบาด, พยากรณ์ภัยธรรมชาติ ฯลฯ

- แล้ว Jaws จะไปมีอิทธิพลต่อ Interstellar ในแง่มุมใด ... เดาเก็งว่าน่าจะอยู่ที่ ฉากผจญภัยท้องทะเลเป็นหลัก ซึ่งใน Jaws ลุ้นระทึกทีเดียวกว่าจะฆ่าเจ้าหลามได้ และอีกมุมก็คงประเด็น ข่าว/ข้อมูลข้อเท็จจริง อันกระทบชีวิต และผลประโยชน์เชิงธุรกิจ ... ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างให้เห็นในสังคมจริงๆอยู่บ่อยๆ ยิ่งในโลกแห่งทุนนิยม เงินตราและกำไรเหนืออื่นใด ในยุคนี้ อาทิกรณี โลกร้อน/ วิกฤติสิ่งแวดล้อม ถึงจะส่อเค้าแนวโน้มวิกฤติแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่เห็นผลแบบตายเป็นเบือจะๆจริงๆ ทำนองฉลามโผล่มางาบเลือดสาดกันจะๆ ... มนุษยชาติ/ หรือผู้นิยมเงินตรา ก็คงเห็นคุณค่าของการทำกำไรมากกว่าต่อไปโดยไม่สนใจใดๆ ... หรือถ้าจะสนใจก็คงแค่สร้างภาพโหนกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แท้จริงเบื้องหลังก็ยังคงมุ่งแสวงหากำไร และผลาญทรัพยากรสร้างมลพิษต่อๆไปเช่นเคย ... ประเด็นทำนองนี้ก็ต้องลุ้น Interstellar ฉบับเต็มๆอีกที ว่าจะมีเล่นนัยยะนี้แค่ หน แต่อย่างที่พอรู้กันเบื้องต้นจาก Trailer ที่ปล่อยออกมาแล้วว่า แก่นเรื่องของ Interstellar นั้น หลักๆก็ด้วยเพราะเหตุโลกอยู่ในเชิงภาวะวิกฤติสิ่งแวดล้อม/ทรัพยากรเกินเยียวยา จึงต้องออกสู่ห้วงอวกาศกู้โลก
ก็พอเดาว่าคงจะมีนัยยะดังกล่าวไม่น้อย



4 เรื่องหลักผ่านไปแล้ว ลองมาดูไซ-ไฟที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกบางเรื่อง ที่ถึงแม้ ผกก.โนแลน ไม่ได้บอกว่าได้รับอิทธิพลโดยตรงต่อ Interstellar ก็ตาม แต่ด้วยส่วนตัวเห็นว่าเป็นหนังไซ-ไฟที่มีความพิเศษไม่ธรรมดาหลายๆประการ และแน่นอนว่าเป็นหนังที่ได้รับการยอมรับชื่มชมยกย่องแห่งยุคด้วย ทั้งมีบางแง่มุมในหนังที่น่าจะนำมาเทียบเคียงเกี่ยวโยงเก็งกับ Interstellar ได้ด้วยเช่นกัน


- Contact (1997)


ไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย เพราะด้วยเป็นหนังที่คอไซ-ไฟ หลายๆคนชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญยังมีนักแสดงรับบทพระเอกคนเดียวกันกับ Interstellar ต่างหาก นั่นคือ " Matthew McConaughey "

- เบื้องต้น Interstellar 2014 กับ Contact 1997 หนังห่างกันถึง 17 ปี! และถ้าหากกลับไปดู Contact จะเห็น Matthew ยังละอ่อนหล่อใส^^ เมื่อสังเกตในตัวอย่าง Interstellar จะเห็น Matthew อาวุโสขึ้นเยอะ ... ใน Interstellar Matthew มาในฐานะพ่อและทั้งยังรับบทนำแบบเต็มๆอีกต่างหาก ซึ่งต่างจาก Contact ที่รับบทพระเอกเป็นแฟนนางเอกก็จริง แต่ถือว่าเป็นเพียงบทรอง ตัวเอกจริงๆอยู่ที่นางเอกอย่าง Jodie Foster ต่างหาก

- Contact โดย ผกก. "Robert Zemeckis" ถือว่าเป็นไซ-ไฟเข้มข้น มีซ่อนแง่มุมหลายนัยยะ ทั้งประเด็นการเมือง-ความเชื่อศาสนา-มนุษย์ต่างดาวลึกลับ-กรณีสมคบคิด ฯลฯ โดยเฉพาะการเดินทางข้ามอวกาศแบบพิเศษที่ตัวพาหนะไม่ได้เคลื่อนที่ออกนอกโลกเลยแต่ประการใด ซึ่งในท้องเรื่องก็กลายเป็นที่ถกเถียงว่า นางเอก Jodie Foster เธอได้ไปอวกาศอันไกลโพ้นจริงๆ หรือแค่ภาวะจิตหลอนไปเองกันแน่ ? แต่ในหนังก็ได้แสดงให้เห็นว่าการเดินทางของเธอ มีการผ่านเส้นทางพิเศษทำนอง รูหนอน ด้วย และอีกกรณีสำคัญน่าสนใจใน Contact ก็คือกรณี ยานพาหนะเดินทางข้างต้น ไม่ใช่เทคโนฯ/นวัตกรรมของปัญญามนุษย์โดยตรงแต่ประการใด แต่ที่มาการสร้างนั้นมาจากพิมพ์เขียว อันได้มาโดยบังเอิญจากสัญญานต่างดาวลึกลับที่เรียกว่าชาวดาว Vega ... จุดนี้ต่างจาก Interstellar อันใน Trailer เบื้องต้นนั้นเผยให้เห็นว่า การเดินทางออกนอกโลกดูจะเป็นการเดินทางอย่างเป็นทางการ และเป็นการเดินทางด้วยยาน อวกาศสร้างจากภูมิปัญญาของมนุษยชาติเองล้วนๆ ? (หรือเปล่า ?)

- ท้องเรื่องใน Contact โลกไม่ได้มีวิกฤติใดๆ จึงไม่ได้เน้นประเด็นกู้โลกแบบ Interstellar แต่เป็นการสืบเสาะไขปริศนาความลี้ลับของสัญญาณต่างดาวข้างต้นเป็นหลัก ซึ่งผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าชาวโลกก็ไม่ได้ข้อมูลกระจ่างใดๆ ทั้งยังคงกังขา ถกเถียงกันต่อไป คงมีแต่นางเอกเท่านั้นที่รับรู้ทุกสิ่งที่อย่างในห้วงอวกาศแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ Interstellar ก็ยังเก็งกันอยู่ว่า จะได้ไปต่างดาวจริงๆ หรือจะเป็นเพียงการข้ามเวลาไปโลกอีกช่วงมิติเวลา/ หรือโลกในอนาคตกันแน่ ? แล้วชาวโลกจะได้อะไร ? หรือการท่องอวกาศครั้งนี้จะ กู้โลกได้ในแง่ไหนกัน ?

- สำหรับกรณี เนื้อเรื่อง/ พล็อตของ Contact 1997 ที่มาคือ ดัดแปลงจากนวนิยายไซ-ไฟชื่อเดียวกัน อันแต่งโดยนักฟิสิกส์/นักดาราศาสตร์ชื่อดังในตำนาน(ผู้ล่วงลับ) นั่นก็คือ "Carl Sagan" ซึ่งทราบมาว่าเนื้อเรื่องถูกดัดแปลงก็ไม่ถึงกับมาก แต่ก็พอควรในเชิงรายละเอียดปลีกย่อย อาทิ ในนวนิยายนางเอกเป็นตัวเอกก็จริง แต่ก็มีนักบินอวกาศหลายคนร่วมเดินทางไปด้วยกัน ส่วนในภาคหนังมีนางเอกได้คัดเลือกเดินทางไปเพียงคนเดียวโดดๆ ... ส่วน Interstellar อย่างที่เกริ่นแล้วว่าเรื่องนี้พล็อตจัดขึ้นเพื่อเจาะจงสร้างเป็นภาพยนตร์โดยเฉพาะ และการเดินทางท่องอวกาศกู้โลกคราวนี้ก็ไปกันเป็นทีม ทั้งยังดูเหมือนจะเป็นความหวังสุดท้ายต่อความอยู่รอดของโลกและมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ?

- ในท้องเรื่อง Contact มีความเกี่ยวโยงกับสิ่งทรงภูมิปัญญามนุษย์ต่างดาวลึกลับที่เรียกว่าชาว Vega เต็มๆ ดังเกริ่นในข้อก่อนหน้า ถึงแม้จะไม่มีการเผยรูปโฉมใดๆแม้แต่น้อยก็ตาม แต่ก็ส่งผลกระทบมากมายกับความแตกตื่นของชาวโลก เรียกว่าสัญญาณจากชาว Vega นี้คือปมหัวใจหลักของที่มาเรื่องราวทั้งหมดใน Contact ก็ว่าได้ ... ส่วน Interstellar ก็อย่างที่ว่ามาแล้ว ก็ลุ้นกันอยู่ว่างานนี้จะมีการเกี่ยวโยงกับมนุษย์ต่างดาว บ้างด้วยหรือไม่ ? (ซึ่งเชื่อว่า คอไซ-ไฟ อยากให้มี เพราะจะทำให้เรื่องราวในหนังดูมีมิติความลึกน่าตื่นเต้นมากขึ้น )

- อันนี้ เด็ด! ... ในท้องเรื่อง Contact มีปมปริศนาลับเงื่อนงำน่าคิดอีกอย่าง (ที่ใครได้ดูหนังแล้วอาจไม่ ค่อยเอะใจนัก) ก็คือ กรณีมนุษย์ต่างดาวลึกลับที่ เรียกว่าชาว Vega อะไรนั่น บางทีทั้งหมดทั้งปวงใน Contact อาจเป็นแค่แผนกุเรื่องสมคบคิด โดยเศรษฐีนายทุนเฒ่าที่ชื่อ " Hadden Suit " (มีโอกาสลองย้อนกลับไปดูหนังอีกรอบครับ) เพราะประเด็นนี้ พิจารณาดูแล้วมันยังไงๆน่าคิดอยู่นะ ... ซึ่งถ้าเป็นฝีมือ Hadden จริง ก็ถือเป็นการหักมุม สับขาหลอกลวงโลก (และหลอกท่านผู้ชม) ครั้งมโหฬาร! แบบเนียนๆ ... และก็หวังว่า Interstellar คงมีประเด็นแอบหักมุมทำนองนี้บ้างด้วยเช่นกัน เพราะอย่างแฟนหนังคุ้นเคยกัน ที่ผ่านมาหนังโดย ผกก.โนแลน มักมีหักมุมให้ผู้ชมได้อึ้งกันเสมอๆ


- The Abyss (1989)


The Abyss !? ว่าไปแล้วก็ไม่น่าจะเอามารีวิวเพื่อโยงเก็งเทียบเคียงกันได้เลย กับ Interstellar เพราะไม่น่าจะมีอะไรพอเชื่อมโยงกัน แต่...

- สำหรับ The Abyss ส่วนตัวขอยกให้เป็นอีกสุดยอดไซ-ไฟขึ้นหึ้ง และเมื่อพิจารณาบรรกาศต่างๆในหนังแล้ว จะว่าไปมันคือประมาณ 2001: a space odyssey ฉบับใต้ทะเลลึกมหาสมุทร ! เลย ... และขึ้นชื่อว่า "James Cameron" กำกับ ... ก็เป็นอันพอเข้าใจกันดีถึงมาตรฐานผลงานที่ผ่านมา (Terminator, Aliens2, Titanic, Avatar) และ ส่วนตัวยังคิดว่า ถ้าในส่วนลูกเล่นพล็อต-การดำเนินเรื่อง-รายละเอียดพล็อพฉาก ฯลฯ ของ Interstellar ขอเพียงทำออกมาได้ในระดับ ใกล้ๆกับ The Abyss ก็ถือแจ่มแล้ว (*แต่กระนั้นในฐานะหนังยุคใหม่กว่า ก็ควรทำได้กว่าซิว่าไหม ^^ ... ก็เพราะ Abyss หนังเก่ามากตั้งสมัย 1989 โน้นแล้ว ... ห่างตั้งกัน 25 ปี!)

- The Abyss ยังถือเป็นหนังไซ-ไฟไม่กี่เรื่อง ที่ทำให้เราได้เห็นฉากเทคโนฯ-นวัตกรรม-อุปกรณ์ในการสำรวจใต้ท้องมหาสมุทรลึกอันลี้ลับ ในแบบสมจริงและงดงาม (ซึ่งการสำรวจทะเลแท้จริงมันก็ใกล้เคียงกับการสำรวจอวกาศดีๆนี้เอง) และว่าไปแล้วถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการอันเกี่ยวข้องหรือคนวงในจริงๆ ก็คงน้อยคนที่จะรู้ว่าในเชิงเทคนิคมีเบื้องหลังการสำรวจใต้ทะเลกันยังไง หนังเรื่องนี้จึงเปิดโลกทัศน์อีกด้านที่ไม่เคยรู้มาก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะแนวสำรวจใต้ทะเลลึก(แบบไม่ใช่แนวดำน้ำดูแค่ปลาสวยงาม) แม้แต่หนังสารคดีปัจจุบันนี้ก็ถือว่ายังหาดูยากอยู่ และไม่ค่อยเผยแพร่ข้อมูลกันมากนัก

- ด้านพล็อตของ The Abyss ต้องนับถือว่าขั้นเทพ ถึงไม่ใช่แนวหักมุม สับขาหลอกลใดๆ แต่ก็เป็นดราม่าหนังรักที่ลงตัวและเท่มาก เพราะนอกจากมีแกมนัยยะการเมืองสงครามโลกแล้ว เนื้อเรื่องก็ยังมีสอดไส้เกี่ยวโยงกับกลุ่มสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวประหลาดใต้ทะเลลึกลับ!อีกต่างหาก และพวกเอเลี่ยนพวกนี้ก็มีไอเดียบรรเจิดอีกมุมตรงที่พวกเขามีความสามารถควบคุมน้ำ-คลื่นมหาสมุทรยักษ์ได้ (หรือกระทั้งดินฟ้าอากาศได้ด้วย ?) ... จนเกือบตัดสินใจล้างมนุษยชาติอย่างหวุดหวิด ... และอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ ฉากการควบคุมคลื่นยักษ์ให้หยุดนิ่งออกมาเป็นประมาณกำแพง! ของเอเลี่ยนข้างต้นนี่ คอไซ-ไฟที่เคยดูหนัง คงอดไม่ได้ที่จะต้องเทียบเคียงกับฉากคลื่นน้ำกำแพงยักษ์ที่เผยในตัวอย่างของ Interstellar ... จึงต้องลุ้นต่อไปว่า ผกก.โนแลน จะเล่นมุขไหนกับกรณีนี้ ถ้าเล่นมุขเอเลี่ยนอยู่เบื้องหลังหรือไม่มีไอเดียนัยยะอื่นรองรับที่แตกต่างมาก ก็ถือว่าซ้ำรอยกับคลื่นใน The Abyss ในบัดดล ^^ ... * สำหรับฉากคลื่นยักษ์ใน The Abyss ที่กล่าวมา ได้ข่าวว่ามีให้เห็นเฉพาะในส่วนดีวีดี หรือ บลูเรย์ ฉบับ special edition เท่านั้น ? ตอนฉายโรงใหม่ๆเหมือนหนังไม่ได้บรรจุฉากนี้มาแต่แรก ถือเป็น Delete Scene

- และอย่างที่เกริ่นจะพบว่าแก่นแท้จริงๆของเรื่อง The Abyss มันคือ หนังรักดราม่าซาบซึ้งในคราบไซ-ไฟ ของคนรักฉันสามีภรรยา หรือฉันมิตรภาพเพื่อนร่วมงาน ในยามยากเสี่ยงตายอันต้องมีการเสียสละ อันเป็นอีกด้านดีงามของมนุษยชาติที่น่าเลื่อมใส จนเอเลี่ยนแอบซาบซึ้งจนต้องเปลี่ยนใจเลิกโครงการล้างโลก! ในวินาทีสุดท้าย ... ซึ่งธีมเกี่ยวกับความรักทำนองนี้ ถ้าดูจาก Trailer ของ Interstellar ที่ปล่อยเรียกน้ำย่อย ก็เหมือนจะต้องการเน้นให้เป็นธีมหลักในหนังด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะความรักความผูกพันธ์ของพ่อลูก/ครอบครัว/มิตรภาพของผู้ภารกิจเสี่ยงภัยร่วมกัน


- Gravity (2013)


- เบื้องต้นสำหรับ Gravity โดย ผกก. "Alfonso Cuarón" จริงๆจุดเด่นไม่ใช่หนังไซ-ไฟแนวปรัชญาหนักๆซับซ้อน เพราะโครงเรื่องราวหลักคืออุบัติเหตุในอวกาศ และฉากจะวนๆอยู่ใกล้ๆโลกไม่ได้ไปไกล แต่จุดเด่นใหญ่ของ Gravity คงอยู่ที่มุมกล้ององค์ประกอบฉากงามๆ+Sound เรียกว่าลงตัวหมดจด ผลก็ออกมาเป็นรางวัลมากมาย และระดับ ผกก.ชื่อดังอย่าง James Cameron ถึงกับออกปากยกย่อง Gravity ว่า เป็นหนังไซ-ไฟอวกาศที่ดีที่สุดที่เคยมีมา(คงชมในแง่ฉาก/ศิลปะของความภาพยนตร์สวยงาม)

สำหรับ Interstellar เรายังไม่รู้ว่าจะออกมาแนวไหน แต่เบื้องต้น สำหรับ ผกก. โนแลน แล้ว จุดเด่นสิ่งที่แฟนๆคาดหวังก็คงโฟกัสที่พล็อตมากกว่า ว่าจะมามุขไหน มีนัยยะปรัชญาล้ำลึก ซักเพียงใด หรือทั้งจะสับขาหลอกหักมุมกันหรือไม่ หนังออกมาจะสาแก่ใจฮาร์ดคอร์แบบผลงานที่ผ่านมา The Prestige, Dark knight, Inception หรือเปล่า ... แต่กระนั้นในส่วนด้านภาพฉาก แฟนๆผู้ชมก็คงคาดหวังไม่น้อยเช่นกัน และเบื้องต้นได้ข่าว โนแลน ก็เป็นผกก.ที่รักระบบฟิล์มมาก ทั้งได้ถ่ายทำ Interstellar ด้วยระบบฟิล์ม IMAX 70 mm. ด้วยอีกต่างหาก (อย่างที่เคยมีใน Dark Knight) ก็แสดงว่าให้ความสำคัญในส่วนของภาพมากทีเดียว เพราะโดยหลักการเบื้องต้นแล้ว ระบบฟิลม์ IMAX 70 mm. จะเก็บภาพได้กว้างกว่าและให้ราย ละเอียดสูงกว่า IMAX Digital แบบปกติไปอีกระดับ ... ก็ไว้ลุ้นก็นต่อไปว่า สำหรับในส่วนของภาพ+ฉากจะสวยงามล้ำเลิศแค่ไหน แล้วถ้าเทียบกับกับไซ-ไฟ ขึ้นชื่อในด้านภาพอย่าง Gravity ล่าสุดแล้ว จะเทียบชั้นได้หรือไม่ ?


- Avatar (2009) / ชวนนึกถึงในแง่ : ความยิ่งใหญ่ตระการตาของงานด้านภาพ / วิสัยทัศน์อันล้ำจินตนาการ


เจ้าของตำแหน่งหนังที่ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลและหนังไซ-ไฟอวกาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยสร้างมา ภายใต้ฝีมือผู้กำกับพันล้าน "James Cameron" แม้เบื้องต้น Interstellar จะไม่ได้เป็นเรื่องราวการต่อสู้กันระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างพันธุ์ (มนุษย์-เอเลี่ยน) แต่ในแง่ของความยิ่งใหญ่ของการออกแบบฉาก วิธีการนำเสนอภาพห้วงอวกาศอันลึกลับกว้างใหญ่ไพศาล การเดินทางข้ามเวลาหลายปีแสงเพื่อช่วยเพื่อนร่วมโลกนับล้านๆชีวิต ซึ่งถ้าดูจากตัวอย่างที่สตูดิโอปล่อยออกมาให้ชม เราจะได้เห็นภาพของ หลุมดำ/รูหนอน ที่ใช้เดินทางข้ามดวงดาวอันไกลโพ้น ที่ล้วนเอื้อให้ผู้กำกับได้ระเบิดจินตนาการอย่างเต็มที่ ซึ่งขึ้นชื่อว่า ผกก. โนแลน แล้ว งานนี้ก็คงการันตีได้เกินครึ่งว่าผลงานชิ้นล่าสุด นี้ต้องเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่อันน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันแน่ๆ


- Armageddon (1998) / ชวนนึกถึงในแง่ : ภารกิจเพื่อมวลมนุษยชาติ / สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก


เรื่องราวการส่งทีมขุดเจาะน้ำมันไปฝึกการเป็นนักบินอวกาศกับนาซ่าเพื่อขึ้นกระสวยไปเจาะอุกาบาตที่กำลังจะพุ่งมาชนโลก พร้อมแผนการวางระเบิดก่อนที่มันจะเข้าสู่วงโคจรโลก ผลงานโดยผู้กำกับ "Michael Bay" (แน่นอนว่าชวนให้คิดไปถึง Deep Impact (1998) อยู่ด้วยเนืองๆเช่นกัน เพราะ 2 เรื่องนี้เนื้อหาเกี่ยวกับอุกาบาตรชนโลกเหมือนกัน แถมเข้าฉายปีเดียวกันอีกด้วย) ซึ่งในหนังเราจะเห็นความรักการเสียสละของผู้เป็นพ่อ (ตัวละครของ Bruce Willis) และลูกสาว (ตัวละครของ Liv Tyler) ส่วนใน Interstellar ประเด็นความผูกพัน ความรักระหว่างพ่อกับลูกก็ยังคงมีเช่นกัน เมื่อตัวละคร Cooper (รับบทโดย Matthew McConaughey) ต้องแบกรับภารกิจออกเดินทางร่วมกับกลุ่มนักบินอวกาศข้ามรูหนอนไปหลายล้านปีแสงเพื่อหาสถานที่แห่งใหม่ที่จะช่วยมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป โดยต้องจากลาลูกๆไปไกลชนิดข้ามดวงดาวกันเลย แต่ความโดดเด่นของ Interstellar คือการที่ ผกก.โนแลน เป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของบทมากชนิดทุกๆรายละเอียดต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้ปมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในงานชิ้นล่าสุดนี้จะต้องออกมาลึกซึ้งจริงจัง สะเทือนอารมณ์และแสดงให้เห็นถึง "ความรักที่อยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่" ให้ได้อินกัน


- Sunshine (2007) / ชวนนึกถึงในแง่ : ภารกิจเพื่อมวลมนุษยชาติ / โลกที่กำลังจะดับสูญ


เมื่อจู่ๆดวงอาทิตย์ก็ใกล้ดับทำให้มวลมนุษยชาติจวนจะถึงคราวสูญสิ้น ภารกิจการเดินทางด้วยยานอวกาศสุดไฮเทคเพื่อไปจุดระเบิดดวงอาทิตย์ให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้งจึงเริ่มขึ้น ผลงานไซ-ไฟฝืมือผู้กำกับ "Danny Boyle" ซึ่งเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อยๆสร้างความสงสัยและกดดันผู้ชมอยู่ตลอด ผ่านตัวละครเพียงไม่กี่ราย ตัวหนังมีประเด็นชวนให้คิดตามว่าถ้าดวงอาทิตย์ดับไปจริงๆและโลกเข้าสู่ภาวะน้ำแข็ง มนุษย์จะอยู่รอดได้อย่างไร เราจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่ง Interstellar เองก็มาพร้อมประเด็นที่ชวนให้ขบคิดตามไม่น้อยในเรื่องวิกฤติการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะดำรงชีพบนโลกได้ดั่งเดิม



ล่างนี้ ขอแนะนำเพิ่มเติมอีกเป็นพิเศษ เผื่อใครสนใจ อันเป็นแนวไซ-ไฟอวกาศ/หรือเอเลี่ยนทรงภูมิเป็นหลัก เน้นไปทางแหวกๆล้ำๆ มีปรัชญาแฝงคัลท์ๆ ... หากไม่เคยดูเรื่องไหน ไว้มีโอกาสลองตามหาดูครับ แค่ละเรื่องมีแง่มุมลี้ลับ/ไอเดียประหลาดๆมีความพิเศษแตกต่างกันไป

- Forbidden Planet (1956) สู่ดาวลึกลับไกลโพ้น ซึ่งมีเทคโนฯล้ำเลิศอันเหลือชื่อ ฝีมือสิ่งทรงภูมิลึกลับ.

- Alien (1979) การเดินทางอวกาศอันยาวไกล จนต้องพบกับสปีชีส์วงจรชีวิตประหลาด ลงเอยสยองโหด.

- The Day the Earth Stood Still (2008) เอเลี่ยนทรงภูมิต่างดาวเยือนโลก กับภารกิจเตือนมนุษยชาติสู่วันโลกาวินาศ.

- District 9 (2009) เอเลี่ยนลึกลับพลัดถิ่น มาอาศัย ณ ดาวโลกเรา นำไปสู่ความขัดแย้งชนชั้น.

- Europa Report (2013) สู่ดวงจันทร์ยูโรปา(บริวาณดาวพฤหัส) สำรวจและเสาะหาชีวิตต่างดาว.

- The Black Hole (1979) ผจญภัยรอบ 'หลุมดำ' ทะลุอีกจักรวาล (*ถือเป็นหนังที่เล่นประเด็นหลุมดำยุคแรกๆ).

- Red Planet (2000) โครงการสำรวจ-แปรสภาพดาวอังคารให้มนุษย์อยู่ได้ กับสถานการณ์กดดันเสี่ยงชีวิต.

- Mission to Mars (2000) สู่ดาวอังคาร อันเป็นที่ที่จะเผยความลับของมนุษยชาติ.

- Event Horizon (1997) ยานทะลุมิติ จากนรก!ในอวกาศ ก่อเกิดการประสบกับเหตุการณ์ขนพองสยองเกล้า.

- Sphere (1998) ทรงกลมลึกลับจากต่างดาว ส่งผลให้จิตสำนึก/ความฝัน กลายเป็นความจริง.

- Pandorum (2009) โลกล่มสลาย มนุษยชาติต้องอพยพสู่ดาวใหม่ พบกับวิกฤติลูกยานกลายพันธุ์ระหว่างทาง.

- Apollo 13 (1995) โครงการไปดวงจันทร์อพอลโล 13 บรรยากาศอุปสรรคนาทีเสี่ยงตาย (*พล็อตสร้างอิงจากเรื่องจริง).

- Apollo 18 (2011) โครงการไปดวงจันทร์ อพอลโล 18 เล่นพล็อตแฟ้มลับที่ไม่เคยเปิดเผย ว่าทำไมNASAจึงยุติการไปดวงจันทร์.


+ ปล. และแนะนำอีกหนึ่งบทความก่อนหน้า อันเกี่ยวกับการ เรียกน้ำย่อย Interstellar (2014) เช่นกัน "ว่าด้วยกรณีการเดินทาง Warp เร็วเหนือแสง! จากทั้งข้อมูลทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์สมทบ+จากจินตนาการหนังไซ-ไฟอืนๆต่างๆสมทบด้วย " ตามไปต่อ คลิกที่นี่